นานาสาระ แล่งท่องเที่ยว จ. อุบลราชธานี
วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554
ช่องเม็ก เป็นจุดผ่านแดนไทย-ลาว ตั้งอยู่ในเขตอำเภอสิรินธร ห่างจากตัวจังหวัดราว 90 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ชายแดนติดต่อระหว่างไทยกับลาว ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนจุดเดียวในภาคอีสาน ที่สามารถเดินทางไป ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยทางพื้นดิน ในขณะที่จุดอื่นจะต้องข้ามลำน้ำโขง และเป็นที่สิ้นสุดของทางหลวงหมายเลข 217 จากอุบลราชธานี
ถนนสายนี้เชื่อมกับถนนในเขตลาว เข้าไปสู่เมืองปากเซในอีก 38 กิโลเมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงสายเอเซีย บริเวณช่องเม็กมีด่านตรวจคนเข้าเมือง และร้านขายสินค้าที่นำเข้ามาจากลาว และหากข้ามไปทางฝั่งลาว จะมีร้านค้าปลอดภาษีตั้งบริการอยู่
![]() ภาพจำลองด่านศุลกากรและศูนย์ราชการ พรมแดนช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลฯ |
ช่องเม็กนั้น นับเป็นด่านชายแดน ที่เป็นเสมือนประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นเส้นทางสู่เมืองปากเซ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ที่ยังคงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวลาว ที่เต็มไปด้วยสีสัน และยังสามารถเดินทางต่อไปยังน้ำตกหลี่ผี และน้ำตกคอนพะเพ็ง น้ำตกที่แม่น้ำโขงทั้งสาย ไหลต่างระดับกันลงมา อย่างยิ่งใหญ่ตระการตา
การเดินทางข้ามไปยังปากเซนั้น นักท่องเที่ยวชาวไทย สามารถนำหลักฐานไปยื่นคำร้องขอทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว ได้ที่ ที่ทำการปกครองจังหวัดอุบลราชธานี (ฝ่ายความมั่นคง) ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ทุกวัน ในเวลาราชการ หรืออาจยื่นคำขอได้ที่ ที่ว่าการอำเภอสิรินธร ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ หรือที่ จุดผ่านแดนชั่วคราวช่องเม็ก ยื่นเรื่องแล้ว สามารถรอรับหนังสือผ่านแดนชั่วคราวได้เลย หากนักท่องเที่ยวมีพาสปอร์ตแล้ว ไม่ต้องทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวครับ
บัตรผ่านแดนชั่วคราว มีกำหนดเวลาท่องเที่ยวในลาวได้ 3 วัน 2 คืน หากจะนำรถเข้าไปทางฝั่งลาว ต้องนำรถไปทำพาสปอร์ตรถที่สำนักงานขนส่งจังหวัด ผู้ขับขี่จะต้องนำสำเนาใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ และสำเนาใบเสียภาษีรถยนต์ ไปยื่นเรื่องขออนุญาตด้วย
ด่านชายแดนช่องเม็ก เปิดทำการเวลา 08.00 - 18.00 น.
บัตรผ่านแดนชั่วคราว มีกำหนดเวลาท่องเที่ยวในลาวได้ 3 วัน 2 คืน หากจะนำรถเข้าไปทางฝั่งลาว ต้องนำรถไปทำพาสปอร์ตรถที่สำนักงานขนส่งจังหวัด ผู้ขับขี่จะต้องนำสำเนาใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ และสำเนาใบเสียภาษีรถยนต์ ไปยื่นเรื่องขออนุญาตด้วย
ด่านชายแดนช่องเม็ก เปิดทำการเวลา 08.00 - 18.00 น.
ค่าใช้จ่ายฝั่งไทย
ค่าใช้จ่ายฝั่งลาว
- ค่าทำบัตรผ่านแดนชั่วคราว คนละ 30 บาท
ค่าใช้จ่ายขากลับ
- ค่าเหยียบแผ่นดิน สปป.ลาว คนละ 20 บาท
- ค่าธรรมเนียมท่องเที่ยวลาว คนละ 400 บาท
- ค่าธรรมเนียมรถ ค่าใช้ทาง คันละ 800 บาท
- ค่าประกันภัยรถ ประมาณคันละ 300 - 500 บาท
- หากเกิน 16.00 น. ต้องเสียค่าล่วงเวลาที่ ตม.ฝั่งลาว คนละ 150 บาท ส่วนฝั่งไทย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
อุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอย | |
![]() อุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอย ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอบุณฑริก อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐประชาธิปไตยกัมพูชา พื้นที่ป่าอยู่ในส่วนหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรัก ประกอบด้วยภูเขาเล็กภูเขาน้อยมากมาย เช่น ภูจองนายอย ภูจองน้ำซับ ภูจอง ภูจันทร์แดง ภูพลานสูง ภูพลานยาว เป็นต้น มีสภาพป่าสมบูรณ์ สภาพธรรมชาติที่สวยงามและมีสัตว์ป่าชุกชุม มีเนื้อที่ประมาณ 686 ตร.กม. หรือ 428,750 ไร่ สืบเนื่องจาก ร.ต.ท.ณรงค์ เทวคุปต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี ได้มีหนังสือ ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2525 ถึงกรมป่าไม้ เสนอโครงการพัฒนาป่าภูจอง-นายอย ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ตามความต้องการของราษฎรอำเภอนาจะหลวย และอำเภอใกล้เคียงในจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อป้องกันรักษาป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงาม ไว้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้ทำการสำรวจ และเห็นชอบให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยมีพระราชกฤษฏีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าภูจองนายอย ในท้องที่ตำบลข่า อำภอบุณฑริก ตำบลนาจะหลวย อำเภอนาจะหลวย และตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2530 ประกาศไว้ในพระราชกิจจานุเบกษา เล่ม 104 ตอนที่ 103 ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2530 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 53 ของประเทศ |
อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ | |
![]() จากการสำรวจของจังหวัดอุบลราชธานี เห็นว่า ป่าดงหินกอง มีสภาพพื้นที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ดำเนินการสำรวจ พบว่า ป่าดงหินกองมีสภาพป่าสมบูรณ์ และมีธรรมชาติสวยงามหลายแห่ง แต่เป็นป่าโครงการเพื่อการใช้สอยเอนกประสงค์ของราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี จึงเห็นควรกำหนดพื้นที่ป่าดงหินกอง เฉพาะบางส่วนบริเวณรอบๆ แก่งตะนะและน้ำตกตาดโตน เนื้อที่ประมาณ 12 ตร.กม. ให้เป็นวนอุทยานป่าดงหินกอง ตามคำสั่งที่ 2428/2522 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2522 ต่อมา ป่าดงหินกอง ถูกประกาศให้เป็นป่าปิด ห้ามการทำไม้ทุกชนิด ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2522 กรมป่าไม้จึงเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ เห็นชอบให้กำหนดพื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 908 ตอนที่ 115 ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2524 โดยใช้ชื่อว่า "อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ" ซึ่งเป็นชื่อตามธรรมชาติของลักษณะภูมิประเทศ ซึ่งเป็นจุดเด่นใหญ่ที่ประชาชนทั่วไปรู้จักกันดี นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 31 ของประเทศ คำว่า "ตะนะ" จากการเล่าขานตามความเชื่อของชาวบ้านและประชาชนทั่วไป เดิมมาจากคำว่า "มรณะ" เนื่องจากบริเวณแก่งตะนะนี้ มีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก และมีโขดหินใหญ่น้อยอยู่ทั่วไป ตลอดจนมีถ้ำใต้น้ำอยู่หลายแห่ง ชาวบ้านที่สัญจรทางน้ำหรือออกจับปลา มักประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตอยู่เป็นประจำ ชาวบ้านจึงเรียกแก่งนี้ว่า "แก่งมรณะ" ตามแรงบันดาลจากสภาพของสายน้ำที่ไหลผ่านแก่งนี้ ซึ่งต่อมาเรียกว่า "แก่งตะนะ" |
แล่งท่องเทียว จ.อุบลราชธานี
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม | |
อุทยานแห่งชาติผาแต้ม มีเนื้อที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอโขงเจียม อำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี ประกอบด้วยสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่านานาชนิด มีจุดเด่นที่สวยงามตามธรรมชาติมากมาย เช่น ผาแต้ม น้ำตกสร้อยสวรรค์ เสาเฉลียง ถ้ำปาฏิหารย์ ภูนาทาม เป็นต้น อีกทั้งยังได้มีการค้นพบภาพเขียนสีโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว 3,000-4,000 ปี ที่บริเวณผาขาม ผาแต้ม ผาเจ็ก ผาเมย และถือได้ว่า เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกในประเทศไทยที่มีแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศลาว เป็นแนวเขตอุทยานแห่งชาติที่ยาวที่สุด ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ป่าเขาทางฝั่งประเทศลาวได้เป็นอย่างดี ในอดีต ชาวบ้านท้องถิ่นที่ทำกินในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ป่าภูผา น้อยคนนักที่จะเดินทางเข้าไปในป่าดังกล่าว เนื่องจากมีความเชื่อว่า "ผาแต้ม เป็นเขตต้องห้าม ภูผาเหล่านี้มีความศักดิ์สิทธิ์ เชื่อกันว่าเป็นภูผาแห่งความตาย ใครล่วงล้ำเข้าไป มักมีอันเป็นไป อาจเจ็บไข้หรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้" พื้นที่ป่าภูผาบริเวณผาแต้ม ได้ถูกเปิดเผยจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เมื่อคณะอาจารย์และนักศึกษาภาควิชามนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้มาทำการสำรวจและค้นพบภาพเขียนสีโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ผาแต้มจึงได้เสนอต่อ กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ขอให้จัดตั้งป่าภูผาในบริเวณผาแต้มเป็นอุทยานแห่งชาติ และได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติผาแต้ม โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ หน้า 90-92 เล่ม 108 ตอนที่ 245 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2534 มีเนื้อที่ประมาณ 340 ตารางกิโลเมตร หรือ 212,500 ไร่ เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 74 ของประเทศไทย ลักษณะภูมิอากาศ อุณหภูมิในแต่ละฤดูแตกต่างกันอย่างมาก ในฤดูฝนจะมีพายุฝนฟ้าคะนองอยู่บ่อยๆ ในฤดูหนาวอากาศเย็นและแห้งแล้ง ความชื้นในบรรยากาศมีน้อย ในฤดูร้อนอากาศร้อนจัด ต้นไม้ใบหญ้าแห้งแล้ง พรรณไม้และสัตว์ป่า สภาพป่าโดยทั่วไป เป็นป่าเต็งรังเสียส่วนใหญ่ ตามพื้นที่มีหินโผล่ ลักษณะเป็นป่าโปร่ง ต้นไม้แคระแกรน แต่มีความสวยงามตามธรรมชาติ พันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ เต็ง รัง เหียง ประดู่ และเหมือดต่างๆ ไม้พื้นล่างเป็นพวกไม้ไผ่ป่า หญ้าต่างๆ ข่อยหิน และยังมีไม้ดอกที่สวยงามขึ้นอยู่ตามซอกลานหินทั่วไป เช่น หยาดน้ำค้าง แดงอุบล เอนอ้า เหลืองพิสมร กระดุมเงิน ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากกระจายทั่วพื้นที่ สภาพป่าจะเปลี่ยนเป้นป่าดิบแล้งในบริเวณที่ราบลุ่มแถบริมห้วย หรือริมแม่น้ำ เนื่องจากมีความชุ่มชื้นพอประมาณตลอดปี พันธุ์ไม้ที่สำคั ได้แก่ ยาง กะบาก รกฟ้า ตะแบกเลือด เขล็ง แดง ไม้พื้นล่างเป็นพวกไม้เถาไม้เลื้อยต่างๆ นอกจากนี้ ยังพบป่าสนสองใบที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ กระจัดกระจายในส่วนที่เป็นพื้นราบบนภูต่างๆ ทั่วพื้นที่ สัตว์ป่า ประเภทเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ยังไม่พบ พบแต่ขนาดเล็ลงมา สัตว์ป่าที่พบได้ทั่วไป เช่น อีเห็น สุนัขจิ้งจอก กระต่ายป่า อีเก้ง ชะมด บ่าง ในฤดูเล้ง เมื่อระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดลงมาก จะพบเป็นสัตว์ประเภทหมูป่า เลียงผา ว่ายน้ำข้ามมาจากฝั่งประเทศลาวอยู่เสมอๆ เนื่องจากอาณาเขตบางส่วนอยู่ในลำน้ำโขง มีปลาน้ำจืดชนิดต่างๆ มากมาย นกนานาชนิดที่พบเห็น เช่น นกขุนทอง นกยูง เหยี่ยว อีกา นกขุนแผน นกกระเต็น เป็นต้น |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)